ในยุคที่ข่าวสารการแพทย์สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่าย ๆ ผ่านโลกอินเทอร์เน็ต การรักษาแบบ สเต็มเซลล์ จึงได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างมากในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่าการรักษาด้วย สเต็มเซลล์ลดอายุ ได้ หรือสามารถโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามหลาย ยังอีกหลายคนในปัจจุบันที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วการรักสเต็มเซลล์นั้นมีแนวทางการรักษาเป็นอย่างไร และเหมาะกับใครมากที่สุด วันนี้เราจะมาเฉลยให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน
สเต็มเซลล์ (Stemcell) คือ เซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะ หรือไม่มีการทำงานใด ๆ จึงต้องได้รับการกระตุ้น และสั่งการจากร่างกาย จึงจะสามารถทำงานได้เหมือนกับเซลทั่วไป ซึ่งความสามารถพิเศษของสเต็มเซลล์ คือการที่มันเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์อะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์กระดูก หรือเซลล์ประสาท นอกจากนี้สเต็มเซลล์ลดอายุยังช่วยในเรื่องของความสวยความงามได้อีกด้วย
โดยหลักการทำงานของมันคือการเข้าไปเจริญเติบโตในเนื้อเยื้อต่าง ๆ สามารถแบ่งตัว และเพิ่มจำนวนได้เป็นทวีคูณ สามารถคงลักษณะดังเดิมไว้ได้ในขณะที่เพิ่มจำนวนอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นสเต็มเซลล์ที่จำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดนั้นเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นที่เหมาะสม ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงทำให้วงการแพทย์คาดหวังจะนำมาเซลล์ต้นกำเนิดชนิดต่าง ๆ มาใช้ในการรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อม หรือความเสียหายของอวัยวะ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม โรคมอเตอร์นิวโรน โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคเบาหวาน เป็นต้น
นอกอย่างที่ได้เห็นไปแล้วว่าสเต็มเซลล์ นั้นมีความสามารถในการเจริญเติบโตในร่างกายของมนุษย์เราได้ดีขนาดไหน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้แหละที่จะสามารถทดแทนเซลล์เก่าที่เกิดการเสียหาย และเปลี่ยนเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของอวัยวะในร่างกายเราเองได้ เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์ตับอ่อน เซลล์กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ประสาท และเซลล์อื่น ๆ ในร่างกายของเรา
ไม่เพียงเท่านั้นสเต็มเซลล์ลดอายุ Rejuvenation Medicine สามารถชะลอวัยได้ (Anti-Aging) เพื่อเข้าไปซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลที่เสื่อมสภาพทั่วร่างกาย หรือเฉพาะจุดที่ฉีดได้ เช่น ใบหน้าเพื่อลดริ้วรอย จุดด่างดำ ลบรอยแผลเป็น ลดเม็ดสี ลดฝ้า สร้างคอลาเจน ลดอาการอักเสบ ลดปวดตากความเสื่อม หรือฉีดที่ศรีษะเพื่อกระตุ้นเส้นผม
อย่างไรก็ตามกการนำสเต็มเซลล์มาเพื่อการรักษาโรคในปัจจุบันนั้นสามารถทำได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ
1. การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ เพื่อการเติมเซลล์และสร้างเซลล์ในเนื้อเยื้อใหม่ให้มีความสม่ำเสมอไปอีกระยะหนึ่ง เพียงแต่ว่าการรักษาที่เป็นมาตรฐานในไทยและทั่วโลกในปัจจุบันนี้ มีเพียงแค่การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดสำหรับโรคที่เกี่ยวกับ โลหิตวิทยาเท่านั้น ส่วนการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อื่น ๆ นั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย และการทดสอบในห้องแล็ป และไม่ได้จัดให้เป็นการรักษาแบบมาตรฐาน
2. การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ให้เป็นเซลล์จำเพาะก่อนนำไปปลูกถ่าย เช่น การเพาะเลี้ยงเซลล์ตับอ่อนชนิดที่สามารถหลั่งอินซูลินได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การเพาะเลี้ยงระบบประสาทสำหรับผู้ป่วยที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากความผิดปกติเซลล์ประสาท เป็นต้น
3. การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ เพื่อหวังผลด้านอื่น ๆ เช่น การปลูปถ่ายสเต็มเซลล์มีเซนไคม์ เพื่อประบการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และเพื่อหวังผลให้ผลป้องกันแทรกซ้อนจากอวัยวะ เพื่อต้องการให้เซลล์หลั่งสารกระตุ้นให้มีความการเจริญเติบโตของร่างกายอื่น ๆ ที่เสื่อมสภาพ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นสามารถสรุปสั้น ๆ ได้เป็น 10 ประเด็นสำคัญด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วย
สำหรับการใช้สเต็มเซลล์ลดอายุในการรักษาในปัจจุบันนั้นเป็นการรักษาที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในทุกวันนี้ เพราะสามารถรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด และยังสามารถทำให้ผู้ป่วยนั้นสามารถกลับมาใช้ชีวิตในปกติอีกครั้ง แต่ด้วยราคาค่ารักษาที่ยังสูง แนะนำว่าให้คุณติดต่อกับสถานพยาบาลที่รักษาเฉพาะทางที่มีชื่อเสียง และมีราคาไม่สูงมาก จะเป็นการรักษาที่ตอบโจทย์อย่างมาก