ทำไมเวลาอ่านหนังสือเรียนหรือท่องตำรา อ่านกี่รอบต่อกี่รอบก็แล้ว ทำไมถึงจำไม่ได้สักที? นี่เราเป็นอัลไซเมอร์ อาการ เริ่มต้นหรือเปล่า? สำหรับคนที่มีความสงสัยในเรื่องนี้อยู่ และอยากหาวิธีที่จะทำให้การอ่านหนังสือของตัวเองจำง่ายขึ้น เข้าใจได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยที่ใช้เวลาน้อยลง วันนี้ทาง Vitalia Wellness Center จะมาแนะนำเคล็ดลับ ที่จะทำให้สมองของคุณสามารถจดจำข้อมูลเหล่านี้ให้ได้มากขึ้นกัน อ่านจบแล้วลองนำไปใช้ในการอ่านหนังสือครั้งหน้าดู แล้วคุณจะเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอย่างแน่นอน!
การท่องจำหรือความเข้าใจแบบไหนสำคัญกว่ากัน แท้จริงแล้วความเข้าใจและการท่องจำทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งต่างก็มีข้อดีและความสำคัญที่แตกต่างกันไป ดังนี้
การท่องจำมีข้อดี คือ ทำให้เราสามารถจำข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น เช่น การจดคำศัพท์หรือสูตรคณิตศาสตร์ ขณะที่บางข้อมูลก็มีความจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เพื่อใช้เป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ในระดับขั้นสูงต่อไป เช่น การจำ ข้อบัญญัติของกฎหมายต่าง ๆ การจดจำไวยากรณ์ หรือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ การท่องจำจัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเตรียมตัวสำหรับการสอบ ที่ต้องการความแม่นยำในการจดจำข้อมูลในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม การท่องจำก็มีข้อจำกัดอยู่ กล่าวคือ ข้อมูลที่ท่องจำมาอาจไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในสถานการณ์ที่ต้องการการวิเคราะห์หรือต้องการความคิดสร้างสรรค์ และข้อมูลที่ท่องจำมาอาจถูกลืมได้แบบง่าย ๆ หากไม่ได้มีการทบทวนหรือนำมาใช้บ่อย ๆ
“ความเข้าใจ” จะทำให้เราสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำไปใช้ในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ หรือการคิดวิเคราะห์ ความรู้ที่มาจากความเข้าใจมักจะอยู่กับเราได้นานกว่า เนื่องจากเราเข้าใจหลักการและเหตุผลเบื้องหลังข้อมูลนั้น ๆ อีกทั้งยังทำให้เราสามารถเชื่อมโยงความรู้ในหลาย ๆ ด้านเข้าด้วยกัน และสร้างความรู้ใหม่ได้
กระนั้น การทำความเข้าใจก็อาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าการท่องจำ ข้อมูลหรือเนื้อหาในบางเรื่องอาจมีความซับซ้อน และต้องการการอธิบายที่ละเอียด ทำให้การทำความเข้าใจยากขึ้น
จะเห็นได้ว่าทั้ง “การท่องจำ” และ “ความเข้าใจ” ต่างก็มีความสำคัญในรูปแบบของตัวเอง ดังนั้นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ การผสมผสานทั้ง 2 วิธีนี้เข้าด้วยกัน เช่น การท่องจำข้อมูลพื้นฐาน และทำความเข้าใจหลักการเบื้องหลัง เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ต่าง ๆ นั่นเอง
อ่านหนังสืออย่างไรไม่ให้ง่วงขณะอ่าน ใครเป็นแบบนี้ต้องอ่านวิธีแก้จากหัวข้อนี้เลย
สภาพแวดล้อมในการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ! เราควรอ่านหนังสือหรือตำราในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อไม่ให้สายตารู้สึกเหนื่อยล้าได้ง่าย ควรเลือกใช้โคมไฟที่มีแสงสว่างที่เหมาะสม รวมถึงควรอ่านหนังสือในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิที่ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป เพื่อไม่ให้รู้สึกง่วงง่าย ๆ
การเตรียมความพร้อมของร่างกายทำได้ด้วยการนอนหลับให้เพียงพอก่อนอ่านหนังสือเพื่อป้องกันความง่วงที่อาจเกิดขึ้น และอย่าอ่านหนังสือหลังจากทานอาหารมื้อหนัก ๆ เพราะอาจทำให้รู้สึกง่วงนอน ควรรับประทานอาหารเบา ๆ แทน
การแบ่งเวลาอ่านหนังสือเป็นช่วง ๆ เช่น อ่าน 25-30 นาที แล้วพัก 5-10 นาที จะช่วยให้สมองได้พักผ่อน ซึ่งสามารถลดความเหนื่อยล้าที่จะเกิดขึ้นได้ และควรใช้วิธีการอ่านแบบ Active Reading ซึ่งคือการที่เราไม่นั่งอ่านอย่างเดียว แต่ให้ทำกิจกรรมร่วม เช่น การจดโน้ต การไฮไลต์ข้อความสำคัญ การตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่อ่าน ประกอบไปด้วย เพื่อทำให้สมองมีส่วนร่วมมากขึ้น และพยายามปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่งเป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเครียด และช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หรือเน้นการอ่านออกเสียงเบา ๆ ซึ่งจะทำให้เรามีสมาธิและไม่เกิดความง่วงง่าย
การพักผ่อนระหว่างช่วงที่ดี ควรมีการลุกเดินหรือยืดเส้นยืดสาย เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่น และพร้อมกลับมาอ่านต่อ และสำหรับคนที่ดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ไปด้วย อาจช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวตอนอ่านหนังสือได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มหนักมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น การนอนไม่หลับหรือหัวใจเต้นเร็ว
วิธีอ่านหนังสือที่ช่วยให้เราจำไม่ลืม จำได้นาน จะต้องใช้เทคนิคที่จะช่วยกระตุ้นสมองและการจดจำ ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูกันได้เลย
เน้นการเข้าใจความหมายของเนื้อหา มากกว่าการท่องจำเนื้อหา การทำความเข้าใจ จะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดีกว่าเดิม และให้พยายามตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่าน เช่น ทำไมเรื่องนี้สำคัญ เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร การตั้งคำถามช่วยกระตุ้นความคิดวิเคราะห์และการจำได้ดีมากขึ้น
พยายามสรุปและจดบันทึกเนื้อหาที่สำคัญเป็นโน้ตสั้น ๆ หรือวาดแผนภูมิเพื่อช่วยในการจำ และอาจใช้เทคนิคการไฮไลต์ ไฮไลต์ข้อความสำคัญในหนังสือหรือจดโน้ตในขณะที่อ่านไปด้วย ส่วนการวาด Mind Map จะทำให้คุณเกิดการเชื่อมโยงแนวคิดและเนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งทำให้จดจำได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย
การทบทวนในที่นี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
ทำไมเราถึงลืม แม้เราพยายามที่จะไม่ลืม นั่นเป็นเพราะ “การลืม” จัดเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของสมอง และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยที่ความทรงจำสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ความทรงจำระยะสั้น (Short-term Memory) และความทรงจำระยะยาว (Long-term Memory) ซึ่งมีลักษณะและการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนี้
ความทรงจำระยะสั้นสามารถจดจำข้อมูลได้ประมาณ 7 รายการ (บวกลบ 2 รายการ) ในคราวเดียว สามารถเก็บข้อมูลได้เพียงไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที หากไม่มีการทบทวนหรือทำซ้ำ มักใช้ในการจดจำข้อมูลชั่วคราว เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่เพิ่งได้ยิน รายการซื้อของ หรือคำสั่งที่เพิ่งได้รับ หากข้อมูลนี้ไม่ถูกนำมาใช้งานหรือทบทวน ข้อมูลนั้นก็จะหายไป
ความทรงจำระยะยาวสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่จำกัดปริมาณ เก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ระดับชั่วโมง ไปจนถึงตลอดชีวิต ใช้ในการจดจำข้อมูลที่สำคัญและมีความหมาย เช่น ประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้ทั่วไป ทักษะต่าง ๆ และข้อมูลทางวิชาการ
ข้อมูลจากความทรงจำระยะสั้นที่ได้รับการทบทวนหรือนำมาใช้งานบ่อย ๆ จะถูกส่งไปเก็บในความทรงจำระยะยาวผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Consolidation ดังนั้นการทบทวนข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ กับข้อมูลที่มีอยู่แล้วในสมองจึงช่วยเสริมสร้างความทรงจำระยะยาวได้ดีมากยิ่งขึ้น
หากสุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคสมองเสื่อมต้องทำอย่างไรบ้าง การที่เราจะรู้ว่า เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าวในระดับไหนนั้น ปัจจุบันนี้สามารถตรวจได้แล้ว ด้วย Alzheimer’s Gene Test การตรวจยีนอัลไซเมอร์แบบไม่ต้องงดน้ำและอาหาร ทราบผลตรวจได้ใน 7-14 วัน ที่ Vitalia Wellness Center โดยมีจุดประสงค์ในการตรวจ ดังนี้
ทั้งนี้หากผลตรวจออกมามีความเสี่ยงสูงระดับ 3 ต้องรีบฟื้นฟูสมองอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์ที่จะเกิดขึ้น
หากตรวจพบยีนโรคสมองเสื่อม ดูเเลยังไง? ในกรณีนี้คุณหมอจะทำการประเมินก่อนว่า มีความเสี่ยงระดับไหน 1-3 และนำไปวางแผนเพื่อดูแลคนไข้ต่อไป โดยมีแผนในการดูแลคนไข้แบบเบื้องต้น ดังนี้
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ที่ Vitalia Wellness Center คลินิกสุขภาพและความงาม ที่นำโดย พญ.นภาพร ธรรมพัฒนากูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย เจาะลึกการดูแลสุขภาพตั้งแต่ระดับเซลล์โดยทีมคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ให้การดูแลทั้งด้านสุขภาพภายในและความงามภายนอก และยังพร้อมไปด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์มีความใส่ใจ พร้อมที่จะดูแลทุกท่านอย่างดีที่สุด
แพ็กเกจ Keep Being Young ที่ Vitalia Wellness Center ช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดีจากภายใน ดูเด็กลงกว่าอายุจริง สำหรับสาววัย 40+ ที่ต้องการมีผิวสวยสุขภาพดี มีความแข็งแรงจากภายใน ด้วยโปรแกรมสุดพิเศษจาก Vitalia Wellness Center โปรแกรม Keep being Young Program เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ที่ Vitalia Wellness Center เราดูแลอย่างใกล้ชิด โดยคุณหมอแชมป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ชะลอวัย สาว ๆ คนไหนที่สนใจต้องการฉีด Stem Cell สามารถทักเข้ามาปรึกษาหรือสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ช่องทางติดต่อด้านล่างเลย ทีมงาน Vitalia Wellness Center พร้อมให้บริการ
Vitalia Wellness Center
Map: https://goo.gl/maps/6LeyqUBkA9P2
เวลาเปิดบริการ Tue-Sun เวลา 10:00 น.- 18:00 น.
Tel 02-077-7801
LineID : https://lin.ee/87PIlNqO